หลายปีก่อนผมนั่งรถเมล์ไปเอาปริญญาบัตรคนเดียวที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ไม่ต้องซ้อม ไม่ต้องใส่ชุดครุย ไม่ต้องมีใครมายินดี ค่าใช้จ่ายในการรับปริญญาจึงเท่ากับค่ารถเมล์

เจ้าหน้าที่ฝ่ายทะเบียนทำหน้าสงสัยแต่ไม่ได้ถามอะไร ผมจึงตอบในใจ “ก็ไม่ได้อยากได้ แค่จะเอาไปถ่ายสำเนาไว้สมัครงาน” ทุกวันนี้มันอยู่ที่ไหนก็ไม่แน่ใจเพราะไม่ได้ใช้มันอีกแล้ว

ในปีเดียวกันผมนั่งรถเมล์ไปสัมภาษณ์งานที่บริษัทปิโตรเคมีแห่งหนึ่ง ในตำแหน่งเจ้าหน้าที่ชุมชนสัมพันธ์

คำถามสุดท้ายที่ถูกถามคือ “ถ้าเกิดสารเคมีรั่วไหลจนบริษัทควบคุมสถานะการณ์ไม่ได้ คุณมีหน้าที่ต้องเกลี้ยกล่อมชุมชนให้เชื่อว่าสารเคมีไม่เป็นอันตราย คุณจะทำอย่างไร?” ผมตอบสั้นๆ ว่า “ถ้าต้องโกหกแบบนั้น ผมก็คงลาออก ชาวบ้านไม่ได้โง่นะครับ” ผู้สัมภาษณ์ 6-7 คนในห้องนั้นจึงหมดคำถาม โชคดีที่ผมไม่ต้องลาออกเพราะเขาไม่ได้รับเข้าทำงาน เดาว่าทุกวันนี้บริษัทใหญ่ๆ ไม่ว่าสัญชาติไหน ก็ยังคงเป็นห่วงหน้าตาตัวเองมากกว่าความปลอดภัยของชุมชน

หลายปีต่อมาผมขับรถเร็วแซงรถบรรทุกแล้วไม่เข้าเลนซ้าย ตำรวจทางหลวงเรียกขอใบขับขี่ แล้วยืนรอข้างรถอยู่นานแต่ไม่ยอมเขียนใบสั่ง ผมจึงถาม “ไม่เคยเขียนใบสั่งรึไง ผมจะรีบไป” ตำรวจนายนั้นอึ้งไปชั่วขณะที่มีคนยอมให้ยึดใบขับขี่และจ่ายค่าปรับให้รัฐ แทนที่จะจ่ายน้อยกว่าให้เขาแล้วได้ใบขับขี่คืนเลย เดาว่าทุกวันนี้ตำรวจไทยบางคนก็ยังพกแค่ปืนแต่ไม่พกปากกา

มีเรื่องที่รอทดสอบเราอีกมากมายในชีวิต ทั้งเรื่องเล็กและเรื่องใหญ่ ความรู้จากโรงเรียนเป็นแค่ส่วนน้อยนิด ปัญหาข้อใหญ่ที่มนุษย์ทุกคนต้องเจอคือ เราสามารถเลือกทำหรือไม่ทำอะไรบางอย่างได้แค่ครั้งเดียว และเราไม่รู้ว่า ณ ขณะนั้น ตัวเองตัดสินใจถูกหรือผิด แต่เราต้องเลือกซักทางเพื่อเดินต่อไปแม้ต้องเดินสวนทางกับคนอื่น สิ่งที่เราทำได้คือมั่นคงกับสิ่งที่ตัวเองเชื่อเพื่อไม่ต้องกังวลกับทางที่ไม่ได้เลือก เราไม่รู้ว่าทางไหนดีที่สุดแต่เราเรียนรู้จากสิ่งที่ตัวเองทำทั้งเรื่องที่ถูกต้องและผิดพลาดจากชีวิตไม่ใช่จากทฤษฎี

เราอาจเปลี่ยนโลกได้ลำบาก แต่เราเป็นคนที่ตัวเองเลือกเป็นได้ไม่ยาก